บทที่
8
กลไกมนุษย์
ปาก à หลอดอาหาร à กระเพาะอาหาร à ลำไส้เล็ก à ลำไส้ใหญ่
ต่อมน้ำลายจะผลิตน้ำลายประมาณ 1 1.5 ลิตร
หลอดทดลอง
|
สารที่ทดสอบ
|
ผลการทดสอบด้วยสารละลายเบเนดิกต์
|
1 2 3 4 |
น้ำลาย + น้ำแป้ง น้ำลายต้ม + น้ำแป้ง น้ำลาย +
กรดไฮโดรคลอริก + น้ำแป้ง น้ำลาย +
โซเดียมไฮดรอกไซด์ + น้ำแป้ง |
ได้ตะกอนสีส้ม เป็นสีฟ้าของสารละลายเบเนดิกต์ เป็นสีฟ้าของสารละลายเบเนดิกต์ เป็นสีฟ้าของสารละลายเบเนดิกต์ |
เอนไซม์เป็นสารประเภทโปรตีน
ทำหน้าที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาระหว่างสาร
ปกติน้ำลายมี ph ระหว่าง 6.4 7.2
เอนไซม์ทำงานได้ดีในอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกายก็ คือ ประมาณ 37
องศาเซลเซียส
เอนไซม์ส่วนใหญ่ถูกทำลายที่อุณหภูมิประมาณ 100
องศาเซลเซียส
กระเพาะอาหารขณะไม่มีอาหารมีขนาด 50 ลบ.ซม.
จะสร้างเอนไซม์และกรดไฮโดรคลอริกเล็กน้อย ถ้ากระเพาะมีอาหารขยาย 10 40 เท่า
จะสร้างเอนไซม์และกรดไฮโดรคลอริกมากเพื่อย่อยอาหาร
เอนไซม์ในกระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อยโปรตีน
ลำไส้เล็กจะย่อยอาหารให้เล็กที่สุด
ลำไส้ใหญ่จะดูดน้ำ แร่ธาตุและวิตามินให้เหลือแต่กาก
และลำเลียงไปที่ลำไส้ตรง
เลือด ประกอบด้วย
-
น้ำเลือดหรือพลาสมา
-
เซลล์เม็ดเลือด
-
เกล็ดเลือด
ของเหลว น้ำเลือด
หรือพลาสมา
เลือด -----
ของแข็ง เม็ดเลือดแดง , ขาว
เกร็ดเลือด
น้ำเลือดประกอบด้วยน้ำ 91 ส่วน
น้ำเลือด ลำเลียงอาหารหรือของเสียประเภทยูเรีย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เซลล์เม็ดเลือดแดง ลำเลียงออกซิเจนในกระเพาะอาหาร
ถ้าออกซิเจนมีน้อยก็จะเป็นเลือดคล้ำ เม็ดเลือดแดงสร้างที่ไขกระดูก อายุเม็ดเลือด
120 วัน ก็จะถูกไปทำลายที่ม้าม ฮีโมโกลบิน (โปรตีน + เหล็ก) ทำให้มีสีแดง
เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค สร้างที่ต่อมน้ำเลี้ยง
บริเวณไขกระดูกกับม้าม
เกล็ดเลือด ทำให้เลือดแข็งตัว
ไม่ใช่เซลล์เป็นส่วนไซโทรพลาสซึมใช้เก็บเลือด
หลอดเลือด มี 3 ชนิด
1. หลอดเลือดอาร์เทอรี่ à นำเลือดออกจากหัวใจ
2. หลอดเลือดเวน à นำเลือดเข้าหัวใจ
3. หลอดเลือดคะฟิลลารี่à เชื่อมระหว่าง อาร์เทอรี่กับเวน
อาร์เทอรี่ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ยกเว้น
จากหัวใจไปปอด
เวนส่วนใหญ่เป็นเลือดสีดำ ยกเว้น จากปอดไปหัวใจ
(เป็นเวนที่มีสีแดง)
คะฟิลลารี่ (หลอดเลือดฝอย)
วิลเลียม ฮาร์วีย์
เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ค้นพบการหมุนเวียนเลือดมีการไหลไปทางเดียวกัน
L.A บนซ้าย R.A บนขวา
หัวใจห้องบน = เอเทียม (ออร์เคิล)
หัวใจห้องล่าง = เวนตริเคิล
L.V ล่างซ้าย R.V ล่างขวา
ซีกขวา
= ไรท์
ซีกซ้าย
= เลฟ
หัวใจ ทำหน้าที่สูบฉีด
หลอดเลือดที่นำเข้าสู่หัวใจจะมีความดันต่ำ
หลอดเลือดที่นำออกจากหัวใจจะมีความดันสูง
เครื่องวัดความดันเลือด เรียกว่า
สฟิคโมนาโนมิเตอร์
ความดันเลือด
ขณะบีบตัว
ขณะคลายตัว
เรียกว่า ซีสทอริค
เรียกว่า ไดแอสทอริค
เลือดออกจากหัวใจ
เลือดเข้าหัวใจ
ชายวัยรุ่นปกติ 120/80 มม.ปรอท
หญิงวัยรุ่นปกติ 110/70 มม.ปรอท
ขณะหัวใจคลายตัวจะไม่เกิน 90
ความดันเลือดวัดเป็นมิลลิเมตร
110 / 70
มิลลิเมตรของปรอท
110
ความดันขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ
วัดความดันที่หลอดเลือดแดง ถ้าให้เลือด
ต้องให้ที่หลอดเลือดดำ ชีพจรจะสีแดง
หายใจเข้า อากาศจะผ่านจมูก หลอดลม ปอด
แก๊สออกซิเจนจะทำปฏิกิริยาเผาผลาญ เรียกว่า
กระบวนการหายใจ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
แพร่ออกจากเยื้อหุ้มเซลล์เข้าหลอดเลือดและละลายอยู่ในน้ำเลือดแพร่เข้าสู่ถุงลมในปอด
ผ่านทางลมหายใจออก
เซลล์สมองจะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ไม่เกิน
4 นาที
ดึงแผ่นยางลง กระบังลมลดต่ำลง
ในช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันอากาศบริเวณรอบๆ ปอดต่ำลง
ดึงแผ่นยางขึ้น กระบังลมเลื่อนสูงขึ้น
ช่องอกลดลง ความดันอากาศบริเวณรอบๆปอดสูงขึ้น
หายใจเข้า กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น กระบังลมต่ำลง
ช่องอกมีมากขึ้น
ความดันอากาศลดต่ำลง
หายใจออก กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง กระบังลมเลื่อนสูงขึ้น
ช่องอกน้อยลง ความดันอากาศสูงขึ้น
กำจัดของเสียทางไต ไตมีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วมีอยู่ 2 ข้าง อยู่ด้านหลังช่องท้อง
ยาว 10 ซม. กว้าง 6 ซม. หนา 3 ซม.
แร่ธาตุและสารที่เป็นประโยชน์จะถูกผนังของหน่วยไตดูดซึมกลับไปหลอดเลือด
เรียกว่า น้ำปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะจุได้ 500 ลบ.ซม. วันหนึ่งร่างกายขับน้ำปัสสาวะ 1 1.5 ลิตร ในแต่ละนาทีจะมีเลือดมาที่ไต 1200 cm3
กำจัดของเสียทางผิวหนัง หลอดเลือดฝอยจะนำของเสียมายังต่อมเหงื่อ
และของเสียแพร่สู่เลือดเข้าต่อมเหงื่อ และนำเหงื่อออกจากผิวหนัง
ผิวหนังยังระบายความร้อนจากร่างกายโดยความร้อนเสียไปทางผิวหนังประมาณ 87.5 %
กำจัดของเสียทางลำไส้ใหญ่ อาหารจะถูกย่อยในที่ต่างๆ
ส่วนที่เหลือหรือย่อยไม่ได้เคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่
ลำไส้ใหญ่จะมีการบีบตัวเพื่อที่อาหารไม่มีประโยชน์ เรียกว่า
อุจจาระออกสู่นอกร่างกาย
กำจัดของเสียทางปอด น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์แพร่เข้าสู่เลือด
ลำเลียงไปปอด เกิดการแพร่ของน้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ถุงลมที่ปอด
เคลื่อนผ่านหลอดลมเคลื่อนไปที่จมูก
จัดทำโดย
พัชราภรณ์ วรมาลี (ครั้งที่ 2)